บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สร้างเสน่ห์จากการพูด


พอดีไปอ่านพบเรื่อง “การสร้างเสน่ห์จากการพูดจา” ในเว็บหลายเว็บ จนไม่รู้ว่า ใครเป็นต้นฉบับ  และเห็นว่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจจึงเอามาเผยแพร่กันต่อ

ข้อมูลที่ผมได้มานั้น ได้มาจาก Thailandtorrent 

เนื้อหาก็มีดังนี้

คนที่พูดจาดี น่าฟัง มีสาระ สนุกสนาน ก็จะมีคนอยากคุย อยากพูดด้วย ทำให้กลายเป็นคนที่มีเสน่ห์ได้ แม้ว่าหน้าตาอาจไม่ได้ดีนัก

ดังคำที่ว่า คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง

อันนี้จริง 

คนที่พูดจาแล้ว ฟังสนุก ไม่อึดอัด จะมีคนอยากคุยด้วยมาก ก็จะส่งผลห้มีเพื่อนมากไปด้วย เมื่อมี การทำงานทำการอะไร ก็จะสะดวกลุล่วงไปได้ง่ายๆ

สำหรับข้อความที่ว่า “คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง” นั้นก็เป็นความจริง  มีข้อยืนยันจากพระไตรปิฎกอีกด้วย  แต่จำไม่ได้ว่าอยู่พระสูตรไหนแล้ว  พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “ผู้หญิงความรักเข้าทางหู ผู้ชายความรัก เข้าทางตา

ผู้หญิงนั้น ขี้เหร่หน่อย ไม่เป็นไร ขอให้พูดหวานๆ ไว้หน่อยก็แล้วกัน  ไอ้ที่หล่อๆ แล้วปากหมานั้น ผ่านไปได้เลย

สำหรับผู้ชายนั้น ข้อให้สวยเอาไว้ก่อน นิสัยส่วนตัวจะเสียบ้างไม่เป็นไร ยอมรับได้

1. พูดจามีสาระ ไม่จำเป็นต้องพูดหลักวิชาการ การมีสาระในที่นี้คือ การพูดแบบมีประเด็น ไม่เปลี่ยนเรื่องไปมา จนคนฟังตามไม่ทัน

ตรงนี้ สงสัยคนเขียนยังไม่ชัดเจน  การพูดมันก็ต้องพูดไปทีละเรื่องอยู่แล้ว  คงไม่มีใครที่พูดเรื่องนี้หน่อยหนึ่ง แล้วไปเรื่องนั้นอีกหน่อยหนึ่ง

การที่คนฟังคิดว่า คนพูดเป็นไม่เป็นเรื่องเดียวกันนั้น เพราะ คนฟังไม่เข้าใจคนพูด คือ คนพูด มันนึกว่าเป็นเรื่องเดียวกัน  แต่คนฟังไปคิดว่า “มันคนละเรื่อง

ที่เป็นอย่างนั้น เพราะ บางทีคนพูดมันรู้ของมัน แต่มัน “ละ” ไว้บ้าง  คนที่พูดอย่างนี้ก็คือ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ  กับ คุณเฉลิม อยู่บำรุง

2. อย่าพูดแต่เรื่องของตัวเอง การพูดคุยกันคือการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ดังนั้น เราจึงต้องเป็นฝ่ายรับฟังบ้าง

เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดคุย ซึ่งจะสามารถทำให้เราได้รู้จักเขามากขึ้นด้วย

อันนี้เป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องสำคัญมากเลย  แต่คนเราส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยได้ เพราะ การที่เราคุยกับใคร ก็เพราะ เราอยากจะคุยเรื่องที่มันอัดอั้นในใจของเรา 

คนส่วนใหญ่จึงชอบพูดเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟัง

3. อย่านินทา หรือจิกกัด การพูดนินทาคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว และยิ่งถ้าผู้พูดชอบพูดจิกกัดคนที่กำลังฟัง ก็ยิ่งทำให้ไม่มีใครอยากจะพูดด้วย

เนื่องจากกลัวว่า เรื่องที่พูดด้วยอาจถูกนำไปนินทาต่อ หรือตัวเองอาจจะโดนจิกกัดเอาได้ ซึ่งไม่มีใครอยากเป็นแบบนั้นหรอก

ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับพูดกับใคร 

ถ้ายังไม่สนิทกัน หรือเป็นเพื่อนร่วมงานที่ห่างเหินหน่อย ก็ไม่ควรไปนินทาเจ้านาย หรือนินทาเพื่อนร่วมงานคนอื่น

แต่ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกัน  ผมเห็นมานั่งคุยกับแล้ว ช่วยกันด่า เจ้านายอย่างมันปาก  มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง  คนอยากฟังเสียด้วย

4. ไม่ขี้โม้โอ้อวด หลายคนชอบคุยโว โอ้อวด อวดมั่งอวดมี อวดเด่นอวดดัง หรือที่มีคำพูดที่ว่า ชอบโชว์เหนือ ทั้งหลายแหล่

พึงระลึกไว้ว่า ไม่มีใครชอบที่จะฟังคำอวดของคุณหรอก และจะทำให้คนที่ได้ฟังเกิดความหมั่นไส้ได้อีกด้วย ไม่มีใครชื่นชมอย่างจริงใจหรอก

อันนี้จริงที่สุด

แม้แต่เพื่อนที่สนิทกัน ก็ยังไม่ชอบพวกที่ชอบคุยโอ้อวดในทำนอง “ถล่ม” คนอื่น  แต่ถ้าเรามีดีในบ้างอย่าง  มันก็พูดได้บ้าง  แต่ไม่ควรไป “ข่ม” คนอื่นเขา

5. พูดจาสุภาพไม่หยาบคาย เป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็อยากฟังคำพูดที่สุภาพ อ่อนหวาน มีหางเสียง ไม่มีใครอยากฟังคำหยาบคาย กระโชกโฮกฮาก

อันนี้เห็นด้วย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คือ คนพูดก็ต้องดูว่า ใครเป็นผู้ฟัง  ในความเห็นของผม พูดด้วยความจริงใจนั้น ดีที่สุด

การไป “ดัดแปลง” ธรรมชาติของตนเอง เพื่อให้คนอื่นมาชื่นชอบนั้น  ผมไม่ค่อยเห็นด้วย  เราเป็นอย่างไร เราก็แสดงออกอย่างนั้น

โดยธรรมชาติแล้ว  ไม่มีใครมันจะบ้า พูดจาหยาบคายกับทุกคน ทุกโอกาส  คนพูดมันก็ต้องกลัวถูกไล่ออกจากงานเหมือนกัน

รวมไปถึงเวลาเกิดอาการตกใจ คำอุทานก็ไม่ควรเป็นคำที่หยาบมาก ซึ่งมักพบเห็นได้บ่อย

แต่นั่นมันจะบ่งบอกถึงนิสัยของคุณจริงๆ ได้เลยค่ะ เพราะฉะนั้นใครที่อุทานคำหยาบก็ควรเปลี่ยนซะใหม่นะ

ตรงนี้คนเขียนก็เกินไป  มันจะไปเปลี่ยนคำอุทานได้อย่างไร  มันเป็นไปโดยธรรมชาติ 

ถ้าอุทานประเภทอวัยวะเพศของตนเองตก (โดยเฉพาะสุภาพสตรี)  ก็ต้องเตือนว่า อย่าพยายามไปตกใจในที่สาธารณชน  ให้มีสติไว้ให้มาก เพราะ คำอุทานนั้น มันออกมาแบบไม่ต้องคิด

ผมเคยผู้หญิงตกใจ แล้วทำอวัยวะเพศตกมาแล้ว   ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “คุณจะเก็บเอง หรือให้ผมเก็บให้”  ท่านสุภาพสตรีท่านนั้น ก็อายม้วนไปเลย

6. คำชม ไม่มีใครไม่ชอบฟังคำชื่นชมจากคนอื่น ดังนั้น เมื่อเราเห็นว่าเค้ามีอะไรที่น่าชื่นชมก็ควรเอ่ยคำชมออกไปจากใจจริง

อันนี้จริงที่สุด เพราะ เคยอ่านพบมาว่า..

คนที่ถูกด่าแล้ว ไม่โกรธ หาได้ยาก แต่ก็พอหาได้  คนที่ถูกชม แล้วไม่ชอบ ไม่มีเลย

ผมไปได้ข้อความดังกล่าวมาจากไหน ก็จำไม่ได้แล้ว  

อย่างไรก็ดี  ตามประสบการณ์ของผม จากการเป็นเด็กภาคกลาง ซึ่งมันต้องมีคำ “สบถ” นำหน้ามาก่อน  มันถึงจะพูดออกมาได้ 

ดังนั้น การพูดของผมจึงมีคำ “สบถ” อยู่เต็มไปหมด  แต่ผมก็มีเพื่อนสนิทมากมาย ไปเรียนที่ไหน ทำงานที่ไหนก็มีเพื่อนมาก

ผมมีข้อดีอยู่อย่างคือ “จริงใจ”  เรื่องมรรยาทไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก  เพราะ เพื่อนเท่าที่มีอยู่นั้น มันก็มากพอสมควรแล้ว 

ผมจึงไม่คิดจะหาเพื่อนใหม่โดยการ “ดัดแปลง” การพูดของผม

คำแนะนำทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็ดี  แต่ขอให้มี “ความจริงใจ” เป็นพื้นฐาน รับรองไม่โดดเดี่ยวในสังคมเป็นแน่






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น