บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก


ตอนนี้มีประเด็น “จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก” เผยแพร่กันทั่วไปในสื่อออนไลน์ทั้งหลาย  ผมพยายามค้นแล้ว ปรากฏว่า ที่นี่ค่อนข้างจะเป็นต้นฉบับ

รายการ ยกวัดไว้ที่เซเว่น ในวันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556 ได้เชิญ รศ.ดร.อาภรณ์ เชื้อประไพศิลป์ สถาบันธรรมาภรณ์เพื่อชีวิตและสุขภาพ บรรยาย “มหัศจรรย์แห่งปัญญา” ได้ชี้ทางสว่างว่า

“จิตสุดท้ายก่อนตาย” สำคัญก็จริง แต่ “จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก” ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย

ปัจจุบันท่านอาจารย์ อายุ 64 ปี เป็นพยาบาลและอาจารย์พยาบาล เพราะทำงานอยู่ใกล้กับคนป่วยที่ใกล้ตายมามาก ได้ชี้แนะว่า

การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง

แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ “ตื่นตัวขั้นสูง” บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น”

ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า “ตาย” แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น “การสร้างภาพจากสังขารจิต 20 นาที” ว่าจะไปภพภูมิใด

ดังนั้น จึงควร “เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต) การเข้าสู่ความมืด (ภวังคจิต) บังสุกุล คำศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาสนาจะปลุกจิตให้ตื่นหรือถอนออกมาเอง”

แปลว่า ต่อให้ก่อนตายญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน) สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น

ถ้ากำลังสวดมนตร์ภาวนา ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนตร์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี

แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว ญาติๆ ร้องไห้ระงึมเสียงดังลั่น หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงเซ็งแซ่ บรรยากาศเหล่านนั้นก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก คือ สวดมนตร์ค่ะ

โดยสิ่งที่อาจารย์อาภรณ์ทำประจำคือ เมื่อรู้ว่ามีคนไข้ตาย ก็จะหยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากระหว่างคิ้ว

เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างใน ซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนตร์หรือบังสุกุลค่ะ แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้

สรุป บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลังความตาย 20 นาที จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก การทะเลาะเบาะแว้ง หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้นค่ะ

แต่ทั้งนี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วยนะคะ จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลา

จิตใครเศร้าหมอง ก็สั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง คิดซะว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่ก็หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฎแห่งกรรม

เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่าค่ะ  

บทความดังกล่าวนั้น มีส่วนถูกบ้างเล็กน้อย ในมุมมองของวิชาธรรมกาย  ซึ่งผมจะขอวิพากษ์วิจารณ์ดังนี้

การตายของคนนั้น หัวข้อต่อระหว่างกายทิพย์กับกายมนุษย์จะต้องขาดจากกัน ตอนนั้น สมองก็หยุดทำงาน  และใจก็หยุดเต้นไปแล้ว

อย่างไรก็ดี  ถึงแม้ว่า สมองหยุดทำงานแล้ว  และใจก็หยุดเต้นแล้ว  ถ้าหัวข้อต่อระหว่างกายทิพย์กับกายมนุษย์ยังไม่หลุดจากกัน คนตายไปแล้ว ก็มีสิทธิ์ “ฟื้น” ได้  และก็มีคน “ฟื้น” มาแล้วหลายร้อย หลายพันคน

ใครก็ตามที่ใกล้ตายแล้ว  วิชาธรรมกายก็มีคำแนะนำคล้ายๆ กับบทความนี้คือ ควรปล่อยให้คนตาย ตายอย่างสงบ โดยควรนึกถึงบุญที่ทำไว้อย่างเดียว

การที่คนใกล้จะตาย นึกถึงบุญไม่ได้  ถึงแม้จะทำบุญมามากมายมหาศาลก็ตาม และไปนึกถึงกรรมชั่วได้  เขาจะไปอบายภูมิก่อน

หลวงพ่อวัดปากน้ำเรียกกรณีนี้ว่า “หลงตาย”

วิธีการของรศ.ดร.อาภรณ์ เชื้อประไพศิลป์ที่ว่า “บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลังความตาย 20 นาที จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก การทะเลาะเบาะแว้ง หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ”

ค่อนข้างจะถูกต้อง แต่การที่

เมื่อรู้ว่ามีคนไข้ตาย ก็จะหยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากระหว่างคิ้ว

เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างใน ซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนตร์หรือบังสุกุลค่ะ แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้

อันนี้ “ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน”  และเป็นไปไม่ได้ที่ว่า ความเย็นของน้ำจะส่งสัญญาณให้สมอง ให้ทำอะไรก็ตาม

ขอย้ำว่า ในทางวิชาธรรมกาย  เราต้องปล่อยคนตาย ตายคนเดียวอย่างสงบ และในทำวิชา 18 กายไว้ตลอดเวลาจนกระทั่งจิตขาดใจ

คนตายก็จะไปภพภูมิที่ดีแน่ๆ

มีเรื่องเล่าที่ควรจะสังวรกันไว้  ผมคิดว่า อ่านมาจากหนังสือโลกทิพย์ 

มีสตรีชราท่านหนึ่ง ใกล้จะตายเต็มทีแล้ว  ญาติก็ไปกระซิบข้างๆ หูว่า “อรหังๆๆๆๆ”  เพื่อให้ท่านท่องตาม แล้วจะได้ไปสุคติภูมิ

อย่างไรก็ดี  แกท่องออกมาว่า “ออระหอยๆๆๆๆ”  เพราะชีวิตของแก ชอบกินหอยมาตลอด

คิดเอาเองว่า แกจะที่ไหน..



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น