บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ลดความเครียดแบบฝรั่ง



ผมไปอ่านพบบทความของ ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ ในผู้จัดการออนไลน์ ชื่อ “7 เทคนิคช่วยลดความเครียดและนอนหลับสบาย”  ซึ่ง ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ ไปแปลมาจากบทความเรื่อง “Tips to Reduce Stress and Sleep Better” ของ WebMD

เนื้อหาเว็บที่เป็นภาษาอังกฤษก็ตามภาพด้านบน  ถ้าอยากอ่านโดยละเอียดก็ตามลิงก์ไป ผมทำลิงก์ให้แล้ว

เนื้อหาบทความที่ ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ แปลมาแล้วก็เป็น ดังนี้

1. ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด วิธีแรกในการจัดการกับความเครียดคือการค้นหาสาเหตุของปัญหา ตรวจสอบสภาพทางด้านร่างกาย และกิจวัตรประจำวันที่ทำ ว่าเป็นความเครียดที่เกิดจากความเจ็บป่วยหรือไม่ หรือมีงานมากเกินไปหรือไม่

เมื่อเราค้นพบสาเหตุของความเครียดแล้ว เราก็จะสามารถค่อยๆหาวิธีลดความเครียดนั้นๆ ลงได้
      
2. เข้าร่วมสังคม ใช้เวลากับครอบครัว เพื่อน การกับกิจกรรมร่วมกับสังคมจะช่วยลดปัญหาความเครียดได้ และการเล่าปัญหาความเครียดให้คนที่เรารักฟังจะช่วยบรรเทาสิ่งที่เรากังวลได้
      
3. จัดระเบียบความคิด อะไรคือสิ่งที่เราคิด และเราคิดอย่างไรกับปัญหานั้น เรามีความคาดหวังอะไร สิ่งที่เราบอกตัวเราเองจะช่วยให้เราตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ที่จะเพิ่มระดับความเครียดหรือลดความเครียดลง เราสามารถจัดระเบียบความคิดได้

การเฝ้าระวังถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และการจัดการกับสถานการณ์นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ฉันทำงานนี้พัง เพราะฉันส่งงานไม่ทันการ
      
4. ออกกำลัง การออกกำลังกายช่วยทำให้ความเครียดหายไปหรือลดลงได้ การใช้เทคนิคผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และเกร็งกล้ามเนื้อต่อผลต่อความเครียดได้

การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือ 2ชั่วโมงก่อนนอน เพื่ออุณหภูมิของร่างกายจะเข้าสู่สภาพปกติ แต่ในกรณีที่เป็นผู้สูงอายุ อายุ 50 ปี ขึ้นไป ที่ทานยาประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
      
5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ควรทานอาหารขยะที่มีน้ำตาลมาก หรือมีคุณค่าทางอาหารต่ำ เพราะจะส่งผลต่อพละกำลังและสภาพจิตใจ

ดังนั้น ควรระวังเรื่องอาหาร รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีน้ำตาลต่ำ ระวังเรื่องคาเฟอีน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นกัน
      
6. นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ลดความเครียดที่เกิดขึ้นในระหว่างวันได้ หากเราเหนื่อยร่างกายไม่สามารถทนต่อปัญหาหรือสิ่งที่มารบกวนเล็กๆ น้อยๆ ได้

ปกติผู้ใหญ่ต้องการการนอน อย่างน้อย 7 - 9 ชั่วโมง ฝึกการนอนให้เป็นเวลา ฝึกการกำหนดลมหายใจ และเทคนิคการผ่อนคลายจะช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
      
7. หาคนช่วยงาน การมีภาระรับผิดชอบมากเกินไป ทำให้เกิดความเครียด หาผู้ช่วยเพื่อลดความเครียด และลดความรับผิดชอบลง

ขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้การนอนหลับดีขึ้นแต่หากมีปัญหาหมกมุ่นมากและไม่สามารถนอนหลับได้ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องต่อไป

อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว (มัทธิว 6:34) เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ


มีข้อสังเกตและวิพากษ์วิจารณ์ ดังนี้

1- ฝรั่งจะเป็นชนชาติที่มีความเครียดมาก และความเครียดนั้น ก็ไปสร้างโรคขึ้นมา  ดังนั้น บทความลดความเครียดต่างๆ จึงมาจากฝรั่งเป็นส่วนใหญ่  และ เป็นข้อแนะนำที่ไม่สามารถลดความเครียดได้

2- ก่อนอื่นขอให้เปรียบเทียบประโยคภาษาอังกฤษกับภาษาไทยคู่นี้ก่อน

Practicing good sleep hygiene along with stress-lowering tactics can help improve your quality of sleep.

ฝึกการนอนให้เป็นเวลา ฝึกการกำหนดลมหายใจ และเทคนิคการผ่อนคลายจะช่วยให้นอนหลับดีขึ้น

ผมไม่รู้ว่า “stress-lowering tactics” มันตรงกับ “ฝึกการกำหนดลมหายใจ” แค่ไหนอย่างไร  แต่แสดงให้เห็นว่า ฝรั่งไม่มีองค์ความรู้ในเรื่องการฝึกสมาธิ 

3- ขอให้ดูประโยคสุดท้ายที่ว่า

อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว (มัทธิว 6:34)

สันนิษฐานว่า ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ คงนับถือศาสนาคริสต์ เพราะ ข้อความที่เน้นระบายสีเหลืองไว้นั้น ไม่มีในต้นฉบับภาษาอังกฤษ

โดยสรุป 

องค์ความรู้ของฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้ในทางวิชาการ หรือในทางศาสนาคริสต์ ไม่มีคำสอนเรื่องฝึกสมาธิหรือการปฏิบัติธรรม

ดังนั้น บทความหรือคำแนะนำการลดความเครียดต่างๆ ที่เขียนมาเป็นหนังสือไม่รู้กี่ร้อยเล่ม เป็นบทความไม่รู้กี่พันบทความจึงใช้ไม่ได้เลย

กล่าวคือ อ่านไปแล้ว ทำตามไปแล้ว ก็ไม่สามารถลดความเครียดได้ 

ในทางวิชาธรรมกายนั้น  ง่ายมาก  ไม่ว่า คุณจะมีปัญหาในชีวิตประจำวันมามากมายขนาดไหน  ก่อนนอนให้ทำตามวิดิโอด้านบน 1 ครั้ง   เมื่อตื่นนอนก็ทำอีก 1 ครั้ง  แล้วค่อยไปทำภารกิจอื่นๆ รับรองความเครียดหายไปแน่

ตรงนี้ขอขยายความนิดหน่อย สำหรับบางคนที่จะโต้แย้งว่า “ไม่มีเวลา”

เมื่อเราล้มนอนลงนอนไปแล้ว  คนที่โชคดีคือ เอนหลังแล้วหลับเลยนั้น ก็แสดงว่า ไม่มีความเครียดอยู่แล้ว  ท่านก็โชคดีไป

แต่คนที่มีความเครียดอยู่ และเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม มันไม่สามารถหลับไปได้เลยทันที  ส่วนใหญ่แล้ว นอนกระสับกระส่าย คิดโน่น คิดนี่ ไปอีกนานกว่าจะหลับได้

บุคคลเหล่านี้นี่แหละที่ควรจะคิดว่า   เราจะคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยหาความสงบไม่ได้ หรือจะเอาใจมาจินตนาการให้เห็นดวงใสในท้องดีกว่า

วันแรกๆ อาจจะทำได้นิดหน่อย แต่เมื่อคิดได้เรื่อยๆ ก็จะทำได้มากขึ้น เมื่อทำได้มากขึ้น ความเครียดก็จะหายไป

สิ่งที่เพิ่มเติมมาโดยไม่รู้ตัวก็คือ ดวงบุญบารมีมันจะใหญ่ขึ้น ทุกข์จากกรรมชั่วที่เคยทำมาในอดีตก็จะหายไปเรื่อยๆ






ผู้ชายทำร้ายผู้หญิง


มีคนไปตั้งกระทู้ชื่อ “จากข่าวร้อนๆ ดารา จ.น. ขอความคิดเห็นเรื่อง "ผู้ชายที่ทำร้ายร่างกายผู้หญิง" นิสัยหรือสันดาน?” ในพันธุ์ทิพย์  ผมเห็นว่า ผมมีทางแนะนำในการแก้ปัญหาดังกล่าวได้บ้าง  จึงมาเขียนแนะนำกัน

บอกก่อนนะครับว่า “ไม่เคยมีพฤติกรรมทำร้ายร่างกายผู้หญิง” นะครับ  ถึงแม้ว่า “คุณสุภาพสตรีส่วนใหญ่ ชอบเห็นผมเป็นดอกไม้ริมทาง เด็ดดม แล้วก็ทิ้งผมไป คนแล้วคนเล่า

เอาเนื้อหาของกระทู้ก่อนว่าเป็นอย่างไร

คือ เรื่องชีวิตคู่ผู้ชายทำร้ายร่างกายผู้หญิงเนี่ยมีให้ได้ยินอยู่ทุกชนชั้น  ผู้ชายบางคนเราดูเรียบร้อยเป็นสุภาพบุรุษเเต่พอทะเลาะกับเเฟนเท่านั้นเเปลงร่างเป็นนักมวย

เลยอยากทราบความคิดเห็นเพื่อนๆ ถือเป็นเรื่องปกติมั้ยคะ หรือไม่ควรให้อภัย  เพราะเห็นหลายคนก็ยังทนคบกันอยู่

ผู้ชายประเภทนี้เป็นเพราะอะไรคะ  เเละถ้าไปคบเเฟนคนใหม่ เเล้วยังมีนิสัยนี้อีกมั้ยคะ

คืออยากรู้ว่าเรื่องทำร้ายร่างกาย  มันเป็นนิสัย? หรือสันดาน?

เเล้วต้องเลือกยังไงไม่ให้เจอคนเเบบนี้คะ

เเละขออิงหลักพุทธศาสนาด้วยค่ะ ผู้ชายทำร้ายร่างกายเเฟนตัวเองจะได้รับกรรมมั้ยคะ? ถ้าได้รับผลกรรมคืออะไร เพราะเห็นเเฟนเพื่อนชีวิตดีขึ้นๆ ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะ

มีความคิดเห็นที่เข้าตากรรมการ คือ ผม มี 2 คน คนแรกเป็นดังนี้

เคยเจอเพื่อนกรณีโดนทำร้ายมานะคะ อยู่ในเหตุการณ์ด้วย รู้เลยว่าทำไมบางกรณีถึงโดน (ไม่ทุกกรณี)

คือ ผญ. ต่อปากต่อคำ เถียงคำไม่ตกฟาก ทำร้ายร่างกาย ผช. ก่อน และด่าบุพการีค่ะ

เลยเข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงโดน (บางทีก็สมควรนะ ^^')

แต่ถ้า ผญ. ไม่ผิด แล้วโดนทำร้าย เราว่าเกินไปนะ พ่อแม่ยังไม่ตีเลย นี่อะไรกัน??

คนที่สองเป็นดังนี้

ผมเคยเผลอลงไม้ลงมือกับแฟนไปครั้งนึงครับ...  จำไม่ได้ว่าสาเหตุทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่เป็นเรื่องเก่าๆ ซ้ำเดิมๆ

แล้วเขาเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น (ทะเลาะกันเรื่องอื่นทีไร วนเข้าเรื่องเดิมได้ตลอด) และเป็นคนที่โมโหร้าย

ชอบทำลายข้าวของ เหวี้ยงข้าวของ ชอบโยนนั้น โยนนี้ใส่ผมตลอด ผมเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรมากนะ ก็มีต่อปากต่อคำกันไปตามประสา แต่ก็ไม่เคยทำอะไรเขาเลย

จนเขาเข้ามาทุบมาตีแบบรั่วๆ (เขาจะทำแบบนี้ ตอนที่ผมไม่ต่อล้อต่อเถียงเขาแล้ว อารมณ์แบบว่าผมพอล่ะ แล้วเขาก็จะเข้ามาตี แล้วก็ถามว่า ทำมั้ยๆ บลาๆๆๆ...)

ผมก็ตั้งการ์ตรับอย่างเดียว แบบว่านานมาก ผมบอกให้หยุดแล้วค่อยๆ คุยกัน เขาก็ไม่หยุด ตะคอกก็แล้ว ตะโกนก็แล้ว เขาก็ไม่หยุด..

คือยอมรับว่าตอนนั้นใจเย็นมาก ไม่รู้ทนได้ไง... โดนตีจนเจ็บแขนเจ็บหัว จนมาสะดุดกับคำว่าถึงพ่อถึงแม่นี้แหละ ของขึ้นเลยทีนี้

ผมบอกว่าพ่อแม่กุเกี่ยวอะไรด้วย? ขึ้นมิงกุกันเลยทีนี้..

(ตอนนั้นผมรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่สมเหตุสมผลกันเลย ทำร้ายร่างกายผมแล้วยังเล่นกันถึงพ่อแม่อีก น๊อตหลุดเลยสิครับแบบนี้.. เป็นคนอื่นผมเฉยๆนะ คงเป็นเพราะเขาผมตั้งความหวังไว้มาก ไม่คิดว่าคนที่รักและไว้ใจจะทำกันได้)

ผมเลยผลักเขาออกไปสุดแรงเขาล้มลงบนเตียง ผมตามกระโจนเข้าใส่กดแขนบีบคอไว้

แบบว่าไม่ให้ดิ้นหน่ะครับ จนเขานอนแน่นิ่งไป (ไม่ได้ตายนะครับ ไม่ได้บีบคอแรงจนหายใจไม่ออกนะครับ แค่ไม่ให้ขยับเฉยๆ)

สักพักตัวเขาเริ่มสั่นเพราะกลัว (ตอนนั้นผมยอมรับว่า โมโหร้ายมาก) ผมเลยถามว่าจะทำแบบนี้อีกมั้ย... เขาก็ส่ายหน้ายอม..

ผมก็เลยปล่อย.. แล้วก็คุยปรับความเข้าใจกัน.. เขาขอโทษผมและผมขอโทษเขาแล้วก็จัดชุดใหญ่ให้ 1 ชุด แล้วทุกอย่างก็ดีขึ้น ^^

หลังจากนั้นมาก็ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีกเลย... เขาเปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน..

(ผมยอมรับว่าผิดจริง ที่ใช้กำลังแบบนั้น เหตุการณ์นั้นถือเป็นตราบาปเรื่องนึงในชีวิตผมเลยครับ...)

ปล.สิ่งนึงที่ผมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นั้นคือ เวลาทะเลาะกัน 2 สิ่งที่ห้ามทำเลยคือ ใช้คำหยาบและถูกเนื้อต้องตัวกันครับ...

เอาประสบการณ์ตรงของผมมั่ง 

ผมมีเพื่อนรักอยู่มาก เพราะ ผมนิสัยชอบตามเพื่อน เพื่อนชวนไปไหนก็ไป ไม่ค่อยขัดใคร  ชวนไปตีหัวชาวบ้าน ผมก็ไป  ชวนไปบวชผมก็ไป 

ดังนั้น ผมขอยืนยันผมมีเพื่อนที่รักกันอยู่มากจริงๆ    บางคนไม่เจอกันเป็นสิบๆ ปี  เจอกันผมก็เหมือนเดิม ไม่แตกต่าง

ในเพื่อนจำนวนนั้น มีคนหนึ่งมันชื่อ “ไอ้อี๊ด”  ไอ้อี๊ดนี่มีประสบการณ์ตีเมียอยู่เป็นประจำ  เมื่อตีกันแล้ว  ไม่มีใครห้ามมันได้

ยกเว้นผมคนเดียว

ครั้งหนึ่ง  ผมไปสอนหนังสือกลับมา ยังไม่ถึงบ้านเข้าเขตหมู่บ้าน ว่ายังงั้นเถอะ  ตอนนั้นอยู่บ้านไอ้อี๊ดนี่แหละ  ไอ้จ๊อดเพื่อนไอ้อี๊ดด้วย เพื่อนผมด้วย วิ่งมาบอกว่า

“ไอ้โต้ง ไอ้อี๊ดตีเมียอีกแล้ว มึงกลับไปห้ามด่วน”

ผมกลับไปก็รีบเป็นกรรมการ เข้าไปห้ามมัน  ผมก็โดนลูกหลงไปหลายที  นึกในใจ “เดี๋ยวกูสวนสักที จะดีไหม”  แต่มันจะผิดหลักปฏิบัติของการเป็นกรรมการ  จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ 

เหตุการณ์เข้าขั้นวิกฤต  ไอ้อี๊ดมันคงรำคาญกรรมการอย่างผมมาก  มันเลิกบีบคอเมีย หันมาบีบคอผมแทน

ผมเกือบจะเปลี่ยนจากกรรมการ เป็นคู่ต่อสู้ของมันแล้ว  แต่ผมยังยึดหลักปฏิบัติที่ดีของกรรมการอยู่ เหลือบตาไปเห็นไอ้จ๊อด คนบอกข่าวยังยืนอยู่ข้างๆ

ผมจึงขอความช่วยเหลือมันว่า “ไอ้จ๊อด ไอ้ชิบหาย ไอ้อี๊ดมันบีบคอกูจะตายแล้ว”  ไอ้จ๊อดจึงเข้ามาช่วยง้างมือไอ้อี๊ดออกไปได้


เมื่อเหตุการณ์สงบ  ไอ้อี๊ดเพิ่งสังเกตเห็นว่า มีคนมาดูเป็นจำนวนมาก  มันก็เลยไปด่าคนดูว่า “มีความสุขหรือไง เห็นคนทะเลาะกัน”  ไทยมุงทั้งหลาย เลยวงแตก...........

ประเด็นที่ผัวตีเมียนี้  จากประสบการณ์ของผม มีคำแนะนำ ดังนี้ คือ  เมื่อมีความโมโหซึ่งกันและกัน  ห้ามพูดกัน  เมื่อหายโมโหแล้ว ค่อยมาคุยกัน

ขอให้ตั้งเป็นกฎเกณฑ์ของครอบครัวเอาไว้เลย

ข้อเสียของผู้หญิงก็คือ “ด่าไม่หยุด”   คำพูดคำด่านั้น  มันจะเพิ่มอารมณ์ เพิ่มความโกรธของผู้ชายขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งต้องใช้กำลัง

ผู้ชายนั้น ส่วนใหญ่แล้ว ด่ากลับไม่ได้ เถียงกลับไม่ได้ หมายถึงว่า ไม่ได้ผล ที่สามารถทำให้ผู้หญิงหยุดได้  แต่ต้องการให้ผู้หญิงหยุดพูด หยุดด่า  มันก็เลยจำเป็นต้องใช้ “กำลัง”

ที่พูดไปนั้น หมายถึงคนส่วนใหญ่  แต่ก็มีผู้ชายจำนวนมาก ไม่กล้าสู้คนนอกบ้าน  ดังนั้น หวยจึงมาออกกับลูกกับเมีย

อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นกรรม

พวกที่ตีพ่อ ตีแม่ ตีลูก ตีเมีย เท่าที่ผมสังเกตดู คือ พวกขี้ขลาดตาขาวทั้งนั้น  พวกนี้ ไม่กล้าไปสู้นอกบ้าน

ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนตายกันนั่นแหละ  ออกไปลุยกันมาแล้ว ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ไอ้คนที่ว่านี้ เคยฆ่าคนตายมาแล้วด้วยซ้ำ

เมากลับบ้านที่ไร “มีมัน ตีอย่างกับเป็นลูก”  ไม่เห็นมันทำร้ายร่างกายเมียของมันเอง ตื่นมาตอนเช้า มันจะหัวเราะแหะๆ  แล้วก็บอกว่า “เมื่อคืนหนักไปหน่อย”




จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก


ตอนนี้มีประเด็น “จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก” เผยแพร่กันทั่วไปในสื่อออนไลน์ทั้งหลาย  ผมพยายามค้นแล้ว ปรากฏว่า ที่นี่ค่อนข้างจะเป็นต้นฉบับ

รายการ ยกวัดไว้ที่เซเว่น ในวันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556 ได้เชิญ รศ.ดร.อาภรณ์ เชื้อประไพศิลป์ สถาบันธรรมาภรณ์เพื่อชีวิตและสุขภาพ บรรยาย “มหัศจรรย์แห่งปัญญา” ได้ชี้ทางสว่างว่า

“จิตสุดท้ายก่อนตาย” สำคัญก็จริง แต่ “จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก” ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย

ปัจจุบันท่านอาจารย์ อายุ 64 ปี เป็นพยาบาลและอาจารย์พยาบาล เพราะทำงานอยู่ใกล้กับคนป่วยที่ใกล้ตายมามาก ได้ชี้แนะว่า

การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง

แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ “ตื่นตัวขั้นสูง” บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น”

ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า “ตาย” แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น “การสร้างภาพจากสังขารจิต 20 นาที” ว่าจะไปภพภูมิใด

ดังนั้น จึงควร “เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต) การเข้าสู่ความมืด (ภวังคจิต) บังสุกุล คำศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาสนาจะปลุกจิตให้ตื่นหรือถอนออกมาเอง”

แปลว่า ต่อให้ก่อนตายญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน) สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น

ถ้ากำลังสวดมนตร์ภาวนา ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนตร์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี

แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว ญาติๆ ร้องไห้ระงึมเสียงดังลั่น หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงเซ็งแซ่ บรรยากาศเหล่านนั้นก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก คือ สวดมนตร์ค่ะ

โดยสิ่งที่อาจารย์อาภรณ์ทำประจำคือ เมื่อรู้ว่ามีคนไข้ตาย ก็จะหยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากระหว่างคิ้ว

เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างใน ซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนตร์หรือบังสุกุลค่ะ แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้

สรุป บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลังความตาย 20 นาที จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก การทะเลาะเบาะแว้ง หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้นค่ะ

แต่ทั้งนี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วยนะคะ จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลา

จิตใครเศร้าหมอง ก็สั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง คิดซะว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่ก็หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฎแห่งกรรม

เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่าค่ะ  

บทความดังกล่าวนั้น มีส่วนถูกบ้างเล็กน้อย ในมุมมองของวิชาธรรมกาย  ซึ่งผมจะขอวิพากษ์วิจารณ์ดังนี้

การตายของคนนั้น หัวข้อต่อระหว่างกายทิพย์กับกายมนุษย์จะต้องขาดจากกัน ตอนนั้น สมองก็หยุดทำงาน  และใจก็หยุดเต้นไปแล้ว

อย่างไรก็ดี  ถึงแม้ว่า สมองหยุดทำงานแล้ว  และใจก็หยุดเต้นแล้ว  ถ้าหัวข้อต่อระหว่างกายทิพย์กับกายมนุษย์ยังไม่หลุดจากกัน คนตายไปแล้ว ก็มีสิทธิ์ “ฟื้น” ได้  และก็มีคน “ฟื้น” มาแล้วหลายร้อย หลายพันคน

ใครก็ตามที่ใกล้ตายแล้ว  วิชาธรรมกายก็มีคำแนะนำคล้ายๆ กับบทความนี้คือ ควรปล่อยให้คนตาย ตายอย่างสงบ โดยควรนึกถึงบุญที่ทำไว้อย่างเดียว

การที่คนใกล้จะตาย นึกถึงบุญไม่ได้  ถึงแม้จะทำบุญมามากมายมหาศาลก็ตาม และไปนึกถึงกรรมชั่วได้  เขาจะไปอบายภูมิก่อน

หลวงพ่อวัดปากน้ำเรียกกรณีนี้ว่า “หลงตาย”

วิธีการของรศ.ดร.อาภรณ์ เชื้อประไพศิลป์ที่ว่า “บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลังความตาย 20 นาที จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก การทะเลาะเบาะแว้ง หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ”

ค่อนข้างจะถูกต้อง แต่การที่

เมื่อรู้ว่ามีคนไข้ตาย ก็จะหยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากระหว่างคิ้ว

เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างใน ซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนตร์หรือบังสุกุลค่ะ แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้

อันนี้ “ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน”  และเป็นไปไม่ได้ที่ว่า ความเย็นของน้ำจะส่งสัญญาณให้สมอง ให้ทำอะไรก็ตาม

ขอย้ำว่า ในทางวิชาธรรมกาย  เราต้องปล่อยคนตาย ตายคนเดียวอย่างสงบ และในทำวิชา 18 กายไว้ตลอดเวลาจนกระทั่งจิตขาดใจ

คนตายก็จะไปภพภูมิที่ดีแน่ๆ

มีเรื่องเล่าที่ควรจะสังวรกันไว้  ผมคิดว่า อ่านมาจากหนังสือโลกทิพย์ 

มีสตรีชราท่านหนึ่ง ใกล้จะตายเต็มทีแล้ว  ญาติก็ไปกระซิบข้างๆ หูว่า “อรหังๆๆๆๆ”  เพื่อให้ท่านท่องตาม แล้วจะได้ไปสุคติภูมิ

อย่างไรก็ดี  แกท่องออกมาว่า “ออระหอยๆๆๆๆ”  เพราะชีวิตของแก ชอบกินหอยมาตลอด

คิดเอาเองว่า แกจะที่ไหน..