บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

วิธีฝึกสมองของหนูดี

หนูดีคือ คุณวนิษา เรซ ที่เคยเขียนลงทวีตเตอร์ของเธอว่า “น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด

ที่เธอพูดนั้น ก็ถูกต้องเหมาะสมแล้ว เพราะ ผู้นำของเมืองไทยในตอนนี้ มันก็โคตรโง่กันจริง โง่กันเป็นคณะ

แต่วันนี้ ไม่ได้มาพูดเรื่องนั้น จะมาพูดเรื่องวิธีฝึกสมอง 9 ประการของหนูดี ดังนี้

1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์

เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน

ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที

หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Thet a ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ

ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)


4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่า นี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น

ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงาน และเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯ

เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน

ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal

ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ

เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ

สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง

ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์


ที่จะกล่าวถึงและจะแนะนำกันในวันนี้  มี 3 ข้อ คือ ข้อ 3 ข้อ 9 และ ข้อ 7

ข้อ 3 หนูดีแนะนำให้ “นั่งสมาธิวันละ 12 นาที” แต่เธอคงหมายถึงการนั่งสมาธิทุกแบบที่มีในโลกนี้ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงลงไป  ผมจะมาแนะนำในกรณีที่เป็นวิชาธรรมกาย

ผมในฐานะที่เป็นวิทยากรสอนวิชาธรรมกาย คุณลุงการุณย์ บังคับว่า ให้ทำ “วิชา 18 กาย” อย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ก่อนนอนกับตื่นนอน


การทำวิชานั้น ก่อนนอนทำท่าไหนก็ได้ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน แต่ส่วนใหญ่เราจะทำกันในท่านั่งสมาธิ แต่ตื่นนอนนั้น เมื่อรู้สึกตัวก็ทำเลยในท่านอนนั้น  ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำ

ดังนั้น ในกรณีที่เป็นคนทั่วไป เมื่อตื่นนอนแล้ว ก็ควรทำเลย ดังนี้  คือ นึกดวงใสเข้าไปที่จมูก ผู้หญิงข้างซ้าย ผู้ชายข้างขวา 

ต่อไปก็นึกไปที่เพลาตา (หัวตา)  แล้วก็ไปที่กลางศีรษะ  แล้วก็ไปที่ฐานที่ 7 ตรงเหนือสะดือ 2 นิ้วมือเลย

นึกให้ดวงใสสว่างอยู่ตรงนั้น  สำหรับคำภาวนานั้น เป็นคำอะไรก็ได้ ที่ทำให้ใจเราอยู่กับดวงใสก็แล้วกัน

ทำไปจนรู้สึกว่า ควรจะไปทำงานหรือไปเรียนได้แล้ว ก็ลุกไปทำกิจธุระประจำวันของเรา

ต่อไปเป็นข้อ 9 ที่ว่า “ฝึกหายใจลึกๆ

ข้อนี้ก็เหมือนกัน  ในระหว่างเรียน ระหว่างทำงาน เมื่อมีเวลาว่าง ก็นึกถึงดวงใสเข้าไปตามฐานที่ 1-2-3 และ 7   คำภาวนาก็แล้วแต่จะท่อง 

ลองสังเกตดู ลมหายใจของเราจะลึกขึ้นเรื่อยๆ  หายใจเบามาก  จากประสบการณ์ของผมเอง ยุงบินเข้าจมูกบ่อยมาก

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะ เราหายใจลึกมาก จนกระทั่งปอดเกือบจะไม่ทำงาน ลมหายใจเข้าออกเอง ร่างกายเคลื่อนไหวน้อยมาก 

ยุงนั้น มันจะบินหาคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อออกซิเจนเข้าน้อย คาร์บอนไดออกไซด์ก็ออกน้อย ยุงมันจึงบินเข้าจมูกไปเลย ผมก็ต้องจามออกมา

ตรงนี้หนูดีบอกว่า ให้สูดหายใจแรงๆ  แต่ผมว่า ทำอย่างที่ผมแนะนำ ลมหายใจเข้าลึกกว่า ได้ผ่อนคลายมากกว่า

สำหรับข้อที่ 7 ที่ว่า “ให้อภัยตัวเองทุกวัน” นั้น  ผมมีข้อแนะนำจากวิชาธรรมกายคือ ให้ลืมไปเลย ความชั่ว ความผิดที่เราทำไปนั้น  ไม่ว่าจะตั้งใจ ไม่ตั้งใจ

ให้อภัยตนเองแล้ว ก็ลืมไปเลย อย่าไปนึกถึงมันอีก

ถ้าไม่ทำอย่างนั้น เมื่อเวลาใกล้ตาย อาจจะซวยทำให้ “หลงตาย” ได้ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น