บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ชีวิตเป็นสุขหลังวัย 60


มีบทความชื่อ “ชีวิตเป็นสุขหลังวัย 60”  เขียนโดย รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ ในคอลัมน์ บอกเล่าเก้าสิบ ของนิตยสารหมอชาวบ้าน 

บทความนี้สะดุดใจผมมาก เพราะ ตอนนี้ผมก็อายุ  58  ปีเข้าไปแล้ว ใกล้ๆ จะเป็นกลุ่มเป้าหมายของบทความแล้ว

อายุคนนี่ก็แปลก  ก่อนจะถึง มันดูช้า  แต่เมื่อถึงแล้ว มันดูไวจริงๆ  อีกไม่กี่ปี ผมก็คงต้องตายไปจากโลกนี้แล้ว

ผมไม่ได้อ่านจากนิตยสารหมอชาวบ้านโดยตรง แต่นำมาจาก url นี้ http://www.doctor.or.th/article/detail/5792 เนื้อหาก็มีดังนี้

เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้รับเชิญจากสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ไปบรรยายเรื่อง "ชีวิตเป็นสุขหลังวัย 60" ให้แก่บรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกษียณอายุฟัง

ผมได้ให้แนวทางปฏิบัติ 8 ประการเพื่อชีวิตเป็นสุข ดังนี้

1. หมั่นดูแลสุขภาพตนเอง ด้วยหลัก 4 อ. โดยยึดคำขวัญว่า
- อ. อาหาร : กินน้อยตายยาก กินมากตายง่าย
- อ. ออกกำลังกาย : ขี้เกียจอายุสั้น ขยันอายุยืน
- อ. อารมณ์ : อารมณ์ดีอยู่ยาว อารมณ์เน่าอยู่สั้น
- อ. อันตราย (สิ่งที่เป็นพิษให้โทษต่อสุขภาพ เช่น เหล้า บุหรี่ อบายมุข อุบัติเหตุ สารพิษ มลพิษ) : เสพพิษชีวิตหด งดพิษชีวิตยืด

ทั้งนี้มีหลักปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม คือ
กินเนื้อน้อย            กินผักมาก
กินเค็มน้อย            กินเปรี้ยวมาก
กินน้ำตาลน้อย       กินผลไม้มาก
นั่งรถน้อย              เดินมาก
เอาน้อย                 ให้มาก (จิตอาสา)
กังวลน้อย              นอน (พักผ่อน) มาก
โกรธน้อย               ยิ้มมาก

2. หมั่นตรวจเช็กสุขภาพเป็นระยะ เพื่อค้นหาปัจจัย เสี่ยงต่อสุขภาพและโรคภัยเงียบ (silent killers) ซึ่งเป็นโรคที่แฝงอยู่ในร่างกายโดยไม่ปรากฏอาการ เช่น เบาหวาน ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง มะเร็งระยะแรก เป็นต้น

เมื่อพบว่ามีโรคประจำตัว ก็ต้องดูแลรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อควบคุมโรค ป้องกันโรคแทรกซ้อน และอายุยืน

พึงหลีกเลี่ยงการใช้ยา และวิธีรักษาอย่างผิดๆ เช่น การกินยาชุด ยาลูกกลอนที่มีสารสตีรอยด์อันตราย การบำบัดที่ยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ว่าได้ผลจริง ซึ่งบางครั้งทำให้สิ้นเปลืองหรือกลับมีพิษภัย

เมื่อป่วยด้วยโรคร้าย (เช่น มะเร็ง อัมพาต) พึงทำใจยอมรับและอยู่กับมันอย่างมีความสุข พลิกความคิดเป็น "เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส"

3. รู้จักวางแผนการเงิน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ และมีคุณธรรม)

4. อย่าเกษียณจากชีวิตและงาน พึงทำในสิ่งที่ชอบ (ฉันทะ) เช่นงานอดิเรกต่างๆ งานจิตอาสา (บำเพ็ญ ประโยชน์ต่อผู้อื่น)

ออกสมาคมกับผู้คน เข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่ม/ชมรม/สมาคม/มูลนิธิ เพื่อเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ฝึกสมอง (ถ้าไม่ฝึก สมองจะฝ่อ) สร้างคุณค่าและความภูมิใจให้ตนเอง

พึงยึดมั่นในการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต

5. ให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น รวมทั้งลดช่องว่างกับคนรุ่นหลัง โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนต่างๆ

ฝึกฟังอย่างลึก (deep listening) เพื่อเข้าใจผู้อื่น ยอมรับความแตกต่างหลากหลายและการเปลี่ยนแปลง

ทำหน้าที่ "แจกของ-ส่องตะเกียง" ให้แง่คิดแนว ทางการปฏิบัติแก่ผู้อื่น

6. อย่ายึดมั่นถือมั่น/ยึดติดในอัตตา (self-centered) ทั้งในเรื่องความรู้-ประสบการณ์แห่งตน ความคิด-ค่านิยม-วิธีปฏิบัติแห่งตน รวมทั้งผลประโยชน์แห่งตน

7. หมั่นเจริญทางปัญญา ให้เห็นสภาพความเป็นจริงของสรรพสิ่งตามที่เป็นธรรมชาติที่เชื่อมโยงอิงอาศัยกัน (อิทัปปัจจยตา) และมีความเป็น ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

8. หมั่นเจริญสติ ระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันและโดยการตามรู้ลมหายใจ การเคลื่อนไหวร่างกาย (นั่ง นอน ยืน เดิน) การทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ (เช่น ล้างจาน กวาดบ้าน กินข้าว อาบน้ำ) การเล่นกีฬา ออกกำลังกาย

รวมทั้งฝึกตามดูรู้ทันความรู้สึก และความคิดของตนเองอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยให้หยุดหรือควบคุมอารมณ์และความคิดที่ก่อทุกข์ให้ตนเองได้

พึงเจริญมรณานุสติอยู่เนืองๆ เพื่อ "ยิ้มรับ" ความตาย และใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทและมีคุณค่า

ท้ายที่สุดนี้ ขอฝากให้หมั่นขอพร  5  ประการเพื่อสุขภาพและอายุยืน ดังนี้
"ฉันขอให้ตัวเอง           มีอายุยืนยาว
ฉันขอให้ตัวเอง             มีสุขภาพแข็งแรง
ฉันขอให้ตัวเอง             มีความคล่องแคล่ว
ฉันขอให้ตัวเอง             มีปัญญาสมบูรณ์
ฉันขอให้ตัวเอง             มีจิตตื่น-รู้-เบิกบาน"

บทความนี้ ผมเห็นด้วยทุกประการ  แต่มีสิ่งที่จะนำเสนอเพิ่มเติมคือ เรื่อง “อารมณ์”  เพราะ เท่าที่มีประสบการณ์มา คนแก่นี่ “เจ้าอารมณ์”  มากที่สุด

ถ้าให้ผมเลือกไปดูแลคนแก่ กับเด็ก   ผมเลือกดูแลเด็กแน่ๆ

จากประสบการณ์ไปสอนวิชาธรรมกาย แล้วก็มีการเปิดโอกาสให้ซักถาม  ซึ่งในหลายครั้ง เราก็ต้องดูเข้าไปถึงอดีตชาติของผู้ถามด้วย

จากประสบการณ์ดังกล่าว ผมพบว่า “การกระทำของคนทุกสิ่งทุกอย่าง” ส่งผลเป็นกรรมดี กรรมชั่ว กรรมไม่ดี ไม่ชั่วทั้งสิ้น  ไม่เว้นเลย

มีบางคนในอดีตชาติเป็นคนสวย  จึงดูถูกคนไปหมด  มีบางคนเป็นคนรวย จึงดูถูกคนไปหมดอีกเช่นกัน  ชาตินี้ ทำอะไรไป ก็ไม่มีใครให้การยอมรับนับถือ

เมื่อก่อนผมไม่คิดว่า การคิดดูถูกคน จะส่งผลถึงขนาดนี้  เพราะ ยังไม่ผิดศีล 5

ดังนั้น  ผมจึงอยากจะแนะนำเรื่องการควบคุม “อารมณ์” ของตัวเรา  ประการสำคัญมากที่สุดก็คือ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้

อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกันคนอื่นว่า ดีกว่าเขา ดีเท่าเขา หรือเลวกว่าเขา  ทุกคนเลย  เพราะ เมื่อคิดว่า เราดีกว่าเขา ก็จะดูถูกคนอื่น 

ถ้าคิดว่า เราเลวกว่าเขา ก็จะเกิดความอิจฉาริษยา

เราเกิดมาทุกคน ต่างก็เข้าสู่สงครามส่วนตัวทั้งสิ้น  สงครามที่ว่าก็คือ การฝันฝ่าที่จะไปนิพพาน 

การสงครามครั้งนี้ เป็นการแข่งส่วนตัว  ทุกคนก็ต่างคนต่างแข่ง  เมื่อเห็นว่า ใครเพลี่ยงพล้ำก็ควรจะเห็นใจกัน  ช่วยได้ก็ควรช่วย ช่วยไม่ได้ก็ต้องถืออุเบกขา

ทำใจ ทำอารมณ์ให้เป็นกลางๆ   เมื่อมีเวลาว่าง ก็ฝึกวิชาธรรมกายเพราะทำไม่ยาก ฝึกได้ทุกขณะ ทุกเวลา ทุกสถานที่

เราก็จะเป็นคนแก่ที่มีอารมณ์ดี  ตายแล้วก็ไปสู่สุคติภูมิ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น