มีข่าวที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์มติชน
ซึ่งสื่อออนไลน์ได้นำมาเผยแพร่ต่อกันมาก
ชื่อ “ออกกำลังสมองเพิ่มคุณภาพให้ชีวิต”
เนื้อหาของข่าวดังกล่าวก็มีดังนี้
นักประสาทวิทยา จากสหรัฐอเมริกา ค้นพบว่าสมองของคนเรานั้น ไม่เพียงสามารถปรับปรุงขีดความสามารถในการทำงานให้ดีขึ้นได้ด้วยกระบวนการฝึก
หากแต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างระบบประสาทของสมองไปในทางที่ดีได้ด้วยการฝึกฝนหรือการ
"ออกกำลังสมอง" นั่นเอง
ดร.ริชาร์ด เดวิดสัน นักประสาทวิทยา
จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน สหรัฐอเมริกา พร้อมคณะผู้เชี่ยวชาญอีกจำนวนหนึ่ง
กล่าวไว้ในการสัมมนาที่สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ว่า
สมองของคนเราไม่ได้หยุดนิ่งเฉย
แต่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาไปตามประสบการณ์ของผู้เป็นเจ้าของสมองไปจนตลอดชีวิต
อันที่จริงแม้หลังการเสียชีวิตแล้ว โครงสร้างของสมองก็ยังปรับเปลี่ยนไปอีกเป็นครั้งสุดท้ายในระยะเวลาสั้นๆ
หลังการตาย ก่อนที่จะปิดสนิทไปตลอดกาล
ในวิชาการทางด้านประสาทวิทยา
เรียกการปรับเปลี่ยนดังกล่าวนี้เอาไว้ว่า "นิวโรพลาสติซิตี้"
ที่หมายถึงการเปลี่ยนรูปของระบบประสาทไปตามแรงที่กระทำต่อสมองนั้นๆ ซึ่งก็คือประสบการณ์ที่ผ่านมาและสั่งสมไว้ของคนเรานั่นเอง
สิ่งที่บ่งชี้ถึงเรื่องนี้ก็คือเหตุผลของการที่เด็กๆ
และวัยรุ่นสามารถเรียนรู้ "ภาษาที่สอง" หรือ
"ท่วงทำนองและเครื่องดนตรี"
ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ที่โครงสร้างของระบบประสาทปรับเปลี่ยนไปมากแล้วตามกาลเวลานั่นเอง
แต่ปรากฏการณ์ "นิวโรพลาสติซิตี้"
ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เช่นกันว่า
เราสามารถฝึกฝนเพื่อเปลี่ยนแปลงการทำงานและรูปแบบของสมองได้
แอมิชิ จา นักประสาทวิทยาอีกคนจากมหาวิทยาลัยไมอามี
ได้เรียนรู้ประสบการณ์ดังกล่าวนี้ด้วยตัวเองหลังจากเคยรับฟังการบรรยายของ
ดร.เดวิดสัน ที่แนะนำให้ผู้ฟัง "ออกกำลังสมอง" ด้วยการนั่งสมาธิ
ศาสตราจารย์จาเปิดเผยว่าในฐานะเป็นศาสตราจารย์หน้าใหม่
และเป็นคุณแม่มือใหม่พร้อมกันไป
ทำให้ทั้งชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงานกลายเป็นแรงกดดันมหาศาลจนถึงกับก่อให้เกิดการมึนงง
เฉยเฉื่อยชาไปเลย
แต่เมื่อทดลองทำสมาธิตามคำแนะนำของ ดร.เดวิดสันไประยะหนึ่ง
ไม่เพียงศาสตราจารย์จาจะสามารถเพิ่มการตื่นตัว
ความฉับไวของสมองได้มากขึ้นเท่านั้น
จากการตรวจสอบยังพบว่าสมองของตนเองมีการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้าในรูปแบบที่เป็นทางบวกเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ในเวลาเดียวกันกับที่อาการเครียดที่เกิดขึ้นลดระดับลงอย่างเห็นได้ชัด
ส่งผลให้ศาสตราจารย์รายนี้หันมาศึกษาเพิ่มเติมทางด้านประสาทวิทยาในที่สุด
ดร.เดวิดสัน เคยใช้พระสงฆ์ที่ผ่านการบวชเรียน ฝึกจิต
บำเพ็ญภาวนามาแล้วกลุ่มหนึ่งเป็นตัวอย่างเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของระบบประสาทของสมองดังกล่าวนี้
พบว่าระดับการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมของสมองขึ้นอยู่กับระดับของการฝึกฝนของพระสงฆ์แต่ละรูป
และความต่างของวิธีการทำสมาธิที่แต่ละรูปใช้
แต่สามารถบ่งชี้ได้ชัดเจนถึงการเชื่อมโยงระหว่างการทำสมาธิกับระดับของขันติ
ความอดทน อดกลั้นที่คนเรามีต่อสภาวะปัญหาและความเพียร
หรือความมานะบากบั่นของแต่ละบุคคล
จากการศึกษาของ ดร.เดวิดสัน พบว่าการที่คนเราเกิด
"ความรู้สึก" ค้างคา เป็นปฏิกิริยาต่อปัญหาหนึ่งปัญหาใดอยู่ยาวนาน แม้ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นนานแล้วก็ตามนั้น
เป็นเพราะสมองในส่วนที่เรียกว่า "อไมกดาลา" (amygdala)
ทำงานยืดเยื้อเกี่ยวกับเรื่องนั้นนั่นเอง
การทำสมาธิเพื่อสร้างความตื่นตัวให้กับสมองหรือการเจริญสตินั้นช่วยฟื้นฟูการทำงานของอไมกดาลาให้กลับคืนสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว
ยิ่งฝึกฝนนานมากเท่าใด
การฟื้นสู่สภาพปกติก็ยิ่งเร็วมากขึ้นเท่านั้น
ข้อแนะนำเรื่องการ "ออกกำลังสมอง"
ด้วยการฝึกสมาธิพื้นฐานง่ายๆ จากผู้เชี่ยวชาญ ก็คือ
การพุ่งความสนใจของเราไปที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเพียงอย่างเดียว
อย่างเช่นการทำสมาธิให้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก
เมื่อเกิดวอกแวกก็ดึงจิตใจกลับมาที่ลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้ได้
|
สำหรับคำแนะนำเพิ่มเติมของผมก็คือ
การฝึกวิชาธรรมกาย ดังภาพวิดิโอด้านล่าง
การฝึกวิชาธรรมกายนั้น
ง่ายสุดๆ ในกระบวนการของการปฏิบัติธรรมในประเทศไทยแล้ว
สามารถฝึกได้ทุกขณะในการดำเนินชีวิตประจำวัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องการฝึก ก็เพียงหลับตา
แล้วจินตนาการให้เห็นดวงใสอยู่ในท้อง ที่ระดับเหนือสะดือ 2 นิ้ว
คนที่จินตนาการให้เห็นดวงใสไม่ได้
หรือทำได้ลำบาก ก็จินตนาการถึงอะไรก็ได้ ที่สามารถทำได้ และลืมเรื่องอื่น
สีที่ควรจะนึกนั้น ก็เป็นไปตาม “สิ่ง”
ที่จินตนาการอยู่ ยกเว้นว่า “ไม่ควรมีสีดำ” เท่านั้น
คำภาวนานั้น
จะมีหรือไม่มีก็ได้
ถ้ามีแล้วทำใจจินตนาการดีขึ้น ก็ควรภาวนา แต่ถ้าภาวนาแล้ว
ขัดขางการจินตนาการ ก็ไม่ต้องภาวนา
นี่คือการออกกำลังสมองที่ดีที่สุด
ตรงประเด็นที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุด
ใครไม่เชื่อก็ลองทำดู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น